Derrick Rose : กุหลาบที่(ไม่ยอม)โรยรา
ภาพของเดอริค โรส ที่กำลังหลั่งน้ำตาในค่ำคืนวันที่ 31 ตุลาคม 2561 หลังจากคว้าชัยชนะให้กับทีมมินนิโซตา ทิมเบอร์วูลฟ์ส ด้วยการทำแต้มมากที่สุดในอาชีพการเล่นถึง 50 คะแนน มันคือช่วงเวลาที่พิเศษมากกว่าการที่จะเป็นแค่เกมบาสเกตบอล
มันคือสัญลักษณ์ของความเข้มแข็ง การก้าวข้ามกำแพงทางร่างกายและจิตใจที่ทุกคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ของชายผู้หนึ่งที่เคยขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต และโชคชะตาพลิกผันให้ดำดิ่งลงสู่จุดตกต่ำที่ไม่ว่าจะพยายามปีนกลับขึ้นมาจนสุดกำลังครั้งแล้วครั้งเล่า แสงสว่างที่มองหากลับอยู่ไกลขึ้นไปอย่างไร้ซึ่งความหวัง
“มันมีความหมายทุกอย่างสำหรับผม” เดอริค โรส กล่าว
แฟนบาสทุกคนไม่มีใครไม่รู้จัก เดอริค โรส เขาคือนักบาสระดับซุปเปอร์สตาร์ที่ถูกดราฟท์มาในอันดับหนึ่งและคว้าตำแหน่ง Rookie of the Year ได้ทันทีในปี 2009 เขาคือเจ้าของรางวัล MVP ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ด้วยวัยเพียง 22 ปี
ในยุครุ่งโรจน์ เดอริค โรสคือนักบาสที่มีลีลาการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคนหนึ่งในลีก ความรวดเร็ว ความแข็งแกร่ง ความคล่องตัวที่เหลือเชื่อ การเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลันและการจัดระเบียบร่างกายกลางอากาศ ทำให้เขาเป็นคนที่ยากจะป้องกัน ทุกค่ำคืนที่โรสลงเล่น จะมีเพลย์ที่สวยงามติดอันดับไฮทไลท์ประจำวันอยู่เสมอ
จนมีคำกล่าวติดปากที่ใช้ในการบรรยายการเล่นของโรสว่า
“Too Big, Too Strong, Too Fast, Too Good!”
เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า ว่องไวกว่า และเก่งกว่า ใครทั้งหมด
ความสัมพันธ์ของโรสกับชาวเมืองชิคาโกหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว เนื่องจากเขาคือเด็กที่เกิดและเติบโตในเมืองนั้น และกลายมาเป็นนักบาสคนแรกที่จุดประกายความหวังให้กับทีมชิคาโก บูลส์ หลังจากที่หมดยุคของไมเคิล จอร์แดน เขาคือที่กำลังจะมาสวมบทบาทเป็นฮีโร่ของเมืองอย่างแท้จริง
…จนกระทั่งในเกมเพลย์ออฟรอบแรกของปี 2012
ทีมชิคาโก บูลส์ กำลังขึ้นนำซิกเซอร์ส 12 คะแนนในควอเตอร์สี่ พร้อมกับเวลาในสนามที่เหลือเพียงไม่ถึงสองนาที เดอริค โรส กำลังจะพาทีมเก็บชัยชนะในเกมแรก เขาเลี้ยงบอลเข้าหาห่วงและกระโดดขาคู่ลอยตัวเปลี่ยนทิศทางจากซ้ายมาขวาเพื่อหลบตัวประกบแบบที่เคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เพียงแต่ว่า…ทันทีที่ขาทั้งสองข้างลงมาสัมผัสพื้นในครั้งนี้ ทุกอย่างในชีวิตของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
โรสล้มลงไปกองกับพื้นสนาม เขาพยายามใช้มือทั้งสองข้างยันตัวเองขึ้นมาแต่กลับพบว่าความเจ็บปวดที่เข่าด้านซ้ายมันรุนแรงเกินกว่าที่จะยืนขึ้นมาได้ สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผลการตรวจ MRI ออกมายืนยันข่าวร้ายว่า เอ็นไขว้หน้า (ACL) ของเข่าซ้ายของโรสฉีกขาด ต้องพักฟื้นอย่างต่ำ 8 ถึง 12 เดือน
ฤดูกาลนั้นจบลง โรสเข้ารับการผ่าตัดในเดือนเมษายน ปี 2012
The Return
ในฤดูกาลถัดมา มันคือฤดูกาลแห่งการรอคอยของแฟนบาส อดิดาสมีการปล่อยแคมเปญภายใต้ชื่อว่า “The Return” เพื่อถ่ายทอดความคืบหน้าในการฟื้นฟูร่างกายของเดอริค โรส ออกมาเป็นระยะ
จนกระทั่งเดือนมกราคม ของปี 2013 โรสสามารถลงมาซ้อมทีมได้เป็นครั้งแรก และมีรายงานออกมาในเดือนมีนาคมว่า แพทย์อนุญาตให้เขากลับมาลงสนามได้แล้ว
แต่แม้จะมีรายงานจากแพทย์ยืนยันเช่นนั้น…ทีมชิคาโก บูลส์ ก็ยังคงต้องเล่นโดยปราศจากซุปเปอร์สตาร์ของทีมเพราะเดอริค โรส ตัดสินใจที่จะไม่ยอมกลับมาลงสนาม
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนั้น มันคือความไม่พร้อมทางร่างกาย หรือ มันคือกลัวความกลัวในจิตใจกันแน่
“มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้” มันคือคำตอบของโรสเมื่อถูกถามว่าจะกลับมาลงสนามได้เมื่อไหร่
เมื่อเข้าสู่ช่วงเพลย์ออฟ ทีมชิคาโก บูลส์ เข้ารอบสี่ทีมสุดท้ายของสายตะวันออกมาพบกับแชมป์เก่าอย่างไมอามี่ ฮีต ที่นำทีมโดยเลอบรอน เจมส์
กระแสเรียกร้องให้เดอริค โรส กลับมาลงสนามเพื่อช่วยทีมก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้น โรสกลับมาซ้อมได้เต็มรูปแบบแล้ว เขาวิ่งได้เหมือนปกติ กระโดดลงน้ำหนักที่เท้าซ้ายขึ้นไปดังค์ในช่วงวอร์มอัพก่อนแข่งได้จนเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ
“ถ้าเดอริค โรส เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวและบอกว่าเค้าจะลงเล่นในวันพรุ่งนี้ ชุดของเขาถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว” ลูล์ แดงก กล่าวหลังจากจบเกมที่สองเมื่อถูกนักข่าวถามถึงการกลับมาของโรส ซึ่งโค้ชธิโบโดว์ ก็ออกความเห็นในทำนองเดียวกันว่า “ถ้าเดอริคกลับมาได้ เราต้องการให้เขากลับมา”
จนในที่สุดชิคาโก บูลส์ ก็พ่ายต่อไมอามี ฮีต ไป 1 ต่อ 4 เกมส์ โดยไร้ซึ่งเงาของเดอริค โรส บนสนาม
โรสถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกับการตัดสินใจไม่ยอมลงเล่นทั้งที่ได้รับอนุญาตจากทีมแพทย์แล้ว หลายคนบอกว่าเค้าขี้ขลาด บางคนบอกว่าเค้าใจไม่สู้…
ในช่วงเวลานั้น มันดูเหมือนกับว่าทุกคนจะลืมช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาที่เขาได้ทำไว้ ทุกคนเคยชินกับภาพแห่งความสำเร็จของ MVP ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีก ที่ไม่ว่ากี่ครั้งที่ล้มลงเขาก็จะสามารถยืนกลับขึ้นมาได้เสมอ
ในตอนนี้เป็นครั้งแรกของชีวิตที่ เดอริค โรส ที่ถูกมองว่าเป็นคนอ่อนแอ
การกลับมาครั้งที่ 1
เมื่อฤดูกาล 2013 – 2014 กำลังจะเริ่มขึ้น มันเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแล้วที่เดอริค โรส ต้องพักและนั่งดูคนอื่นเล่นอยู่ข้างสนามเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ในตอนนี้ เขาดูพร้อมแล้วทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อมีนักข่าวจาก CNN มาถามว่า ใครคือผู้เล่นที่ดีที่สุดใน NBA ตอนนี้?
“เดอริค โรส”
คำตอบของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับคนสัมภาษณ์จนต้องหลุดหัวเราะออกมาและถามซ้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่เดอริค โรส ยังคงยืนยันคำตอบเดิมว่า เขานี่แหละคือผู้เล่นที่ดีที่สุดในลีก ด้วยสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
MVP คนนี้พร้อมที่จะกลับมาแล้ว
การรอคอยสิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2013 เมื่อเดอริค โรส กลับมาลงสนามได้ในเกมพรีซีซันเมื่อทีมของเขาต้องพบกับอินเดียนา เพเซอร์ส ฟอร์มการเล่นของเขายังไม่สมบูรณ์นักในเกมแรกที่ลงสนามแต่ก็ค่อยๆ ดูดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลับมาเล่นในถิ่นของตัวเองที่ชิคาโก้เป็นครั้งแรกและเอาชนะทีมดีทรอยท์ พิสตันส์ โดยทำไป 22 คะแนน
“ผมคิดว่าร่างกายผมแข็งแกร่งกว่าเดิมนะ อย่างตอนแหวกเข้าหาห่วง ผมคิดว่าผมสามารถรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น และถ้าพูดถึงเรื่องแรงกระโดด ผมคิดว่าผมกระโดดได้สูงกว่าเดิม” โรสให้สัมภาษณ์หลังจบเกม แสดงถึงความมั่นใจว่าร่างกายของเขาสมบูรณ์และพร้อมที่จะลงเล่นในเกมจริงเมื่อเปิดฤดูกาลแล้ว
…แต่ทว่าความมั่นใจและความหวังทุกอย่างก็ต้องหยุดลงอีกครั้งในเพียงแค่อีกสิบเกมส์ถัดไป
โรส บาดเจ็บอีกครั้งที่บริเวณเข่าขวาในเกมที่เจอกับพอร์ทแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส ครั้งนี้เขาสามารถเดินออกจากสนามไปยังม้านั่งด้วยตัวเองได้และดูเหมือนจะไม่ร้ายแรงเหมือนครั้งก่อน
แต่ฝันร้ายของแฟนบาสก็มาถึงเมื่อผลการตรวจ MRI ในวันถัดมาชี้ผลว่า หมอนรองกระดูกที่เข่าขวาเขาแตกต้องรับการผ่าตัด ทำให้ปิดฉากโอกาสในการลงสนามในฤดูกาลนั้นทันทีทั้งฤดูกาล
การกลับมาครั้งที่ 2
หลังจากที่พลาดการลงสนามไปถึง 154 เกมส์รวมกันในสองฤดูกาลที่ผ่านมา โรสกลับมาลงสนามกับชิคาโก บูลส์อีกครั้งในเกมเปิดฤดูกาล การกลับมาของเขาในครั้งนี้มันชัดเจนว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ความคาดหวังของแฟนบาสต่อการกลับมาของเขาลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
โรส ลงเล่นได้เพียงสองเกมส์ก็ต้องหยุดพักอีกสองเกมส์จากอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า และเขาก็ต้องพักอีกต่อเนื่องเป็นระยะจากอาการบาดเจ็บเล็กน้อยตั้งแต่กล้ามเนื้อต้นขา ไปจนถึงอาการป่วยทั่วไปและอาการปวดเข่าซ้าย
จนในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 2015 ทางทีมประกาศว่า เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดเข่าขวาอีกครั้งเพื่อรักษาหมอนรองกระดูกในจุดเดิม
รวมทั้งฤดูกาลโรสลงสนามได้เพียง 51 เกมส์ พร้อมกับผลงานในสนามของเขาที่ค่อยๆ ตกลง วิธีการเล่นที่ดูเปลี่ยนไป เขาไม่ดุดันและพุ่งเข้าหาห่วงด้วยความมั่นใจเหมือนอดีตและเลือกที่จะหยุดยิงสามคะแนนมากขึ้นแม้จะมีความแม่นยำการยิงที่ไม่ดีนักเพียง 28.6%
แม้จะมีบางค่ำคืนที่เขายังสามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการยิงสามคะแนนในวินาทีสุดท้ายพาทีมคว้าชัยชนะเหนือทีมคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ในเกมที่สามของรอบรองชนะเลิศสายตะวันออก
แต่ทว่า…เขาไม่สามารถรักษาระดับฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมแบบนั้นให้สม่ำเสมอได้เหมือนในอดีต และทีมชิคาโก บูลส์ ก็พ่ายให้แก่คาวาเลียร์สและตกรอบไปในที่สุด
การลาจาก
ปี 2016 มันคือปีสุดท้ายของเดอริค โรส กับทีมชิคาโก บูลส์ เมื่อเขาต้องถูกเทรดตัวออกไปให้กับนิวยอร์ค นิคส์ หลังจากที่ทีมมีผลงานที่น่าผิดหวัง ไม่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้ ส่วนผลงานในสนามของโรสเองก็ไม่ได้อยู่ในระดับแถวหน้าของลีกอย่างที่เคยเป็น
จากคนที่เคยเป็นขวัญใจคนทั้งเมือง คนที่เคยเป็นผู้เล่นที่สร้างความตื่นตาตื่นใจที่สุดคนหนึ่งของลีก คนที่ถูกยกขึ้นมาเป็นความหวังแรกของทีมต่อจากนักบาสผู้เป็นตำนานของชิคาโก บูลส์
ในตอนนี้…เดอริค โรสไม่ไช่ MVP คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เขาต้องเดินออกจากเมืองที่เป็นบ้านเกิดและที่ที่เขาเติบโตขึ้นมาหลังจากเพียง 7 ฤดูกาล…และมันเป็นการเดินจากไปในฐานะ…
นักบาสธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
จุดตกต่ำ
เส้นทางเป็นนักบาสของเดอริค โรส ในตอนนั้นเปรียบเสมือนกับเทียนไขที่กำลังวันดับลง สภาพร่างกายของเขาไม่เหมือนเดิม ความแข็งแกร่งและความรวดเร็วที่เคยเป็นจุดเด่นของเขามันหายไปอย่างช้าๆ
แต่ปัญหาทางร่างกายทั้งหมดนั้นอาจเทียบไม่ได้เลยกับสภาพจิตใจที่บอบช้ำจากอาการบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความผิดหวังในตัวเองที่ไม่สามารถกลับไปเป็นเดอริค โรสคนเดิมในอดีต
มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเข้มแข็งแค่ไหนต่างก็มีขีดจำกัดของตัวเอง เดอริค โรส ก็เช่นกัน
ช่วงกลางฤดูกาลของปี 2016 ในคืนที่ทีมนิวยอร์ค นิคส์ มีกำหนดการแข่งกับนิวออร์ลีน โรสกลับหายตัวไปจากทีมอย่างลึกลับและไม่รับโทรศัพท์ใดๆ ทั้งสิ้น เค้าตัดสินใจบินกลับไปหาแม่ของเขาที่บ้านเกิดที่ชิคาโกอย่างเงียบๆ ทิ้งเกมการแข่งไว้โดยไม่มีการแจ้งใครล่วงหน้า
โรสชี้แจงในภายหลังว่า เขาต้องการมัน เขาต้องการเวลาที่จะอยู่กับแม่ เขาต้องการใช้เวลาและระยะห่างจากทุกสิ่ง
ท่ามกลางความกังวลของทีมและแฟนบาสถึงการหายตัวไปของโรส ข่าวดีคือเขาไม่ได้บาดเจ็บหรือรับอันตรายใดๆ ทางร่างกาย แต่การกระทำครั้งนี้มันคือสัญญาณที่ชัดเจนว่า จิตใจที่เคยแข็งแกร่งของเขามันกำลังหลอมละลาย เขาไม่สามารถรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในชีวิตได้
แปดวันถัดมาหลังจากที่หายตัวไปในครั้งนั้น โรสกลับมาลงสนามอีกครั้งและสามารถทำแต้มสูงสุดของตัวเองในฤดูกาลนั้นด้วยการทำ 30 คะแนน พร้อมกับเก็บชัยชนะเหนือบอสตัน เซลติกส์
หากชีวิตคือบทละครที่มีการกำหนดตอนจบที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ การต่อสู้กับโชคชะตาอย่างแสนสาหัสของโรสก็ควรจะได้รับรางวัลตอบแทนบ้าง
แต่…เขาบาดเจ็บอีกครั้ง
คราวนี้เกิดขึ้นที่หมอนรองกระดูกของเข่าซ้าย ต้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นครั้งที่ 4 ตลอดอาชีพการเล่นเพียง 9 ปี ทำให้เขาต้องปิดฉากบทบาทการเล่นในฤดูกาลนั้นทันที พร้อมกับสัญญากับทีมที่กำลังจะหมดลง
ความท้อแท้
จากผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงถึงระดับ $20 ล้านเหรียญต่อปี เดอริค โรส ในวันนี้ทำได้เพียงมองหาทีมที่ยังพอที่จะมีที่ว่างรับเขาเข้าร่วมทีมด้วยสัญญาขั้นต่ำสุดหนึ่งปีกับ $2.1 ล้านเหรียญกับทีมคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส
เงินอาจไม่ไช่ปัจจัยสำคัญสำหรับโรสเมื่อในอดีตที่ผ่านมาเขาได้ทำรายได้มากมายจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้อดิดาสและสัญญาเก่ากับชิคาโก บูลส์ ในวันนี้ด้วยวัยเพียง 29 ปี เขาเพียงต้องการโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองในสนาม
เพียงเวลาแค่เดือนกว่าหลังจากเปิดฤดูกาล เดอริค โรสก็ประสบปัญหาบาดเจ็บเช่นเคยที่ข้อเท้าซ้าย ความท้อแท้และผิดหวังในครั้งนี้ทำให้เขาต้องขอลาพักจากทีมชั่วคราวเพื่อประเมินสถานการณ์ของตัวเองว่าจะยังคงเล่นบาสเกตบอลต่อไปหรือไม่
“เขาเหนื่อยกับการที่ต้องบาดเจ็บ และสิ่งนี้มันกลืนกินจิตใจเขาในที่สุด” คำอธิบายสั้นๆ จากแหล่งข่าวที่อยู่ใกล้ชิดกับโรสในตอนนั้น
มันใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่ 16 เกมส์ที่เขาอยู่กับคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ ก่อนที่ทางผู้บริหารทีมก็ตัดสินใจเทรดโรสออกไปให้ยังทีมยูทาห์ แจ็ส และในที่สุดก็ถูกปล่อยตัวออกไปในอีกเพียงสองวันถัดมา
…อดีต MVP คนนี้กลายเป็นคนที่ถูกมองข้ามและไม่มีทีมไหนต้องการ
ก้าวข้ามกำแพงในจิตใจ
โรส ล่องลอยอยู่กับการไม่มีทีมและความไม่แน่นอนในอนาคตของอาชีพการเล่นบาสอยู่เกือบหนึ่งเดือน ก่อนที่ทีม มินนิโซตา ทิมเบอร์วูลฟ์ส จะติดต่อมาและร่วมตกลงสัญญากันในวันที่ 8 มีนาคม 2018 ทำให้เขาได้กลับมาเจอกับบรรยากาศเดิมๆ สมัยที่เล่นอยู่บูลส์กับ โค้ช ทอม ธิโบโดว์ และ เพื่อนร่วมทีมเก่า ทั้ง จิมมี่ บัตเลอร์ และ ทาจ กิ๊บสัน
“ผมเพียงแค่อยากได้โอกาสที่จะโชว์ให้ทุกคนเห็นว่าผมยังเล่นได้” โรส กล่าวไว้เมื่อตอนที่ร่วมทีมครั้งแรก “สิ่งเดียวที่ผมขาดตอนนี้คือ ‘โอกาส’ และ หลังจากที่ผมคุยกับโค้ชธิโบโดว์ ก็ดูเหมือนเขาพร้อมจะให้โอกาสกับผม”
แม้จะได้รับโอกาสอีกครั้ง แต่ภาพการพยายามจะกลับมาและก็ต้องล้มลงไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่ากลายเป็นเรื่องชินตาสำหรับทุกคน
เขาถูกสบประมาท เขาถูกนำมาเป็นภาพล้อเลียนแทนสัญลักษณ์ของนักกีฬาที่อ่อนปวกเปียกและบาดเจ็บง่าย เขาไม่มีบทบาทสำคัญในลีกนี้อีกต่อไปแล้ว เหลือสถานะเป็นแค่นักกีฬาที่ต้องพยายามดิ้นรนหาทีมอยู่หรือไม่ก็โดนปล่อยตัวทิ้งไป
ทุกวันที่มีข่าวของทีมทิมเบอร์วูลฟ์ส จะปรากฏเพียงแต่ดราม่าของจิมมี่ บัตเลอร์ หรือ ทาวนส์ ละเว้นชื่อของอดีต MVP คนนี้เพราะตอนนี้เขาเป็นเพียงนักกีฬาตัวสำรองคนหนึ่งเท่านั้น
หากจะมีใครที่ยังคงเฝ้ารอว่าเดอริค โรส จะก้าวข้ามกำแพงทางร่างกายและจิตใจ และกลับมาเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญกับทีมได้ ความหวังนั้นก็คงเป็นได้แค่เพียงอณูเล็ก ๆ ในใจที่พร้อมจะยอมรับความจริงว่ามันอาจไม่มีวันเป็นไปได้
ภายใต้ความมืดมิดกับการถูกมองข้ามและการอยู่ในจุดตกต่ำที่สุดของชีวิต น้อยคนที่จะสังเกตเห็นว่า เดอริค โรส คนเดิมนี้ไม่ได้พ่ายแพ้ต่อจิตใจตัวเองอีกต่อไปแล้ว เขาปลดล็อคตัวเองจากพันธนาการแห่งความคาดหวังและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง เขาเล่นบาสเก็ตบอลเพื่อตัวเอง เพื่อทีม เพื่อชัยชนะ ด้วยความสนุกเหมือนอดีต เขาเรียนรู้จากความผิดหวังและนำมันมาผลักดันตัวเองไปข้างหน้า
โรสค่อยๆ ทำผลงานในสนามได้ดีอย่างสม่ำเสมอทีละน้อยจนเริ่มเตะตาผู้คนหลังจากที่ทำได้ 28 คะแนนในเกมที่เจอกับดัลลัส แมฟเวอริคส์ และอีกหนึ่งสัปดาห์ผ่านมา คือเกมที่เขาประกาศให้ทั้งโลกได้รู้ว่า
“เดอริค โรส คือผู้ชนะ”
เขาทำ 50 คะแนนพร้อมกับลูกบล็อกในเพลย์สุดท้ายพาทีมคว้าชัยชนะจากยูทาห์ แจ็ส ที่ปล่อยตัวเขาออกมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน มันเป็นการทำแต้มสูงสุดในอาชีพการเล่นของเขาในวัย 30 ปี สูงกว่าสมัยที่เขาเป็นออลสตาร์หรือ MVP
เดอริค โรส ในวันนี้ทำให้ทุกคนเห็นแล้ว…ทุกอย่างมันเป็นไปได้
เสียงเชียร์ของแฟนที่ลุกขึ้นยืนปรบมือให้แก่ค่ำคืนอันพิเศษของเดอริค โรส มันดังก้องไปทั่วสนาม ทุกคนในวงการบาสและแฟนที่ดูอยู่ทั่วทุกมุมโลกไม่ว่าจะเชียร์ทีมใดต่างแสดงความยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น
น้ำตาของโรสที่หลั่งออกมามันบ่งบอกถึงการปลดเปลื้องความอัดอั้น ความท้อแท้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยแบกไว้ในใจอย่างหมดสิ้น
“ผมฝ่าฟันมาหนักมาก เพื่อทีมนี้ เมืองนี้ แฟนๆ เพื่อทุกคน เพราะผมเพียงอยากกลับไปเล่นให้ได้อย่างที่เคยเล่นมาก่อน” เดอริค โรสให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำตาหลังเกม “ผมเล่นเกมนี้อย่างสุดหัวใจ…คืนนี้มันคือคืนที่พิเศษมากจริงๆ”
“มันมีความหมายทุกอย่างสำหรับผม” โรส กล่าว
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ความพยายามอาจไม่ได้นำพามาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการเสมอมา แต่อย่างน้อยมันจะพาคุณไปพบกับความพึงพอใจอันอาจมีค่ามากกว่าเดิมเสมอไป เดอริค โรส ในวันนี้อาจไม่ไช่คนที่สามารถคว้ารางวัล MVP หรือแหวนแชมป์ NBA แต่เขาคือต้นแบบของคนที่พยายามและไม่ยอมแพ้
ไม่ว่าโชคชะตาจะเล่นงานเขาแค่ไหน ไม่ว่าร่างกายจะทรยศต่อเขากี่ครั้ง ไม่ว่าจิตใจเบื้องลึกจะบอกให้เขาล้มเลิกอีกกี่หน เดอริค โรส ยังคงมีศรัทธาในตัวเองและเดินหน้าต่อไป ในวันนี้ความสำเร็จของเขามันอาจมีรูปร่างต่างไปจากเดิมแต่เชื่อเถอะว่าเขาพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด และน้ำตาที่หลั่งออกมาหลังจากเกมนี้มันเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ได้อย่างดีว่า
กุหลาบดอกนี้จะไม่มีวันโรยราอย่างแน่นอน
เขียนโดย : Fatfree