“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผู้ชายคนนี้ จะเป็นคนที่จะมาเปลี่ยนนิยามของจังหวะการยิงที่มีคุณภาพในโลกของ NBA” – ดอริส เบิร์ก
ผมให้เวลาคุณลองนึกภาพ สตีฟเฟ่น เคอรี่ ในปี 2013 ซักครู่ ก่อนที่เขาจะเป็นแชมป์ ก่อนที่จะกลายเป็นนักบาสที่คนทั่วโลกแทบจะรู้จัก ก่อนที่ทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่าเราหมายถึงใคร เวลาที่เราพูดเพียงแค่ว่า “สเตฟ”
ลองนึกภาพย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2013 ซึ่งเป็นเกมที่ เคอรี่ กำลังจะปะทะกับนิวยอร์ก นิกส์ ตอนนั้น พ่อหนุ่มหน้าเด็กเพิ่งทำไป 38 แต้มในเกมก่อนที่จะถึงเกมนี้… แต่เกมนั้นกลับกลายเป็นแค่เพียงย่อหน้าข่าวสั้นๆ เมื่อเทียบกับชัยชนะของซุปเปอร์ทีม ไมอามี่ ฮีต ที่กำลังรันวงการอยู่ตอนนั้น
ในเกมวันนั้น เคอรี่ ก้าวลงไปในสนาม แมดิสัน สแควร์ การ์เดน สนามเหย้าของทีม นิวยอร์ก นิกส์ ในรองเท้าไนกี้ สีฟ้า-เหลือง ที่มีการเขียนวลีประจำตัวไว้ว่า “I can do all things” หรือ “ผมสามารถทำได้ทุกสิ่งอย่าง” ซึ่งรองเท้าคู่นั้น วลีนั้นๆ และ ผู้เล่นนั้นๆ กำลังจะกลายเป็นที่จับตาของคนทั้งวงการ และ คนทั้งประเทศ ไม่นานนักหลังจากเกมนี้ โดยที่ยังไม่มีใครรู้ตัวเลย ณ ตอนนั้น
และในเกมวันนั้น เคอรี่ก็เล่นราวกับว่า ทำได้ทุกสิ่งอย่างจริงๆ
เคอรี่ ไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัวออกไปเลยแม้แต่ครั้งเดียวในเกมนั้น ตลอด 48 นาที และเขาก็ได้วาดลวดลายการเล่นบาสที่กำลังจะมาปฏิวัติวงการในไม่ช้า ด้วยฟอร์มการเล่นที่เรียกได้ว่าเกือบอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลย์อัพโดยใช้มุมการชิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน หรือ แม้แต่การยิงสองแต้มระยกะกลางนิ่มๆ และที่แน่นอน ก็คือการยิงระยะไกลที่กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว ซึ่งเขายิงออกไปทั้งหมด 13 ครั้ง และ ยิงพลาดเพียงสองครั้งเท่านั้นตลอดทั้งเกม
รวมทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อจบเกมแล้ว เคอรี่ ทำไปทั้งหมด 54 แต้ม ซึ่งยังคงเป็นยอดการทำแต้มสูงสุดในการเล่นอาชีพของเขามาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้เล่นคนแรกที่ทำแต้มได้ 50 แต้มขึ้นไป ด้วยการยิงสามแต้มลง 10 ลูกขึ้นไปอีกด้วย
เป็นจังหวะนั้น วินาทีนั้น ที่ทำให้ ชายที่ชื่อว่า สตีฟเฟ่น เคอรี่ ได้ก้าวเข้าสู่จุดที่ทั่วทุกสายตาในวงการบาส NBA ต้องหันมาจับตามองทั้งหมด ถึงแม้ว่า เขาจะเป็นผู้เล่นที่เรียกได้ว่าเป็น ดารา ในระดับบาสมหาวิทยาลัย และ เขาเองก็มีรูปแบบการเล่นที่ดึงดูดผู้ชมอยู่แล้ว แต่คืนนั้น มันมีความพิเศษที่ตราตรึงใจผู้คนอย่างทั่วถึง
เรย์มอน์ด ริดเดอร์ หัวหน้าประชาสัมพันธ์ของทีมวอริเออร์ส ยังจำได้จนถึงวันนี้ ว่ามีกระแสการติดต่อมาจากสื่อต่างๆ มากมายขนาดไหน หลังจากเกมวันนั้น
ณ เวลาตอนนั้น เคอรี่ ยังห่างจากฤดูกาลที่เขาจะได้ MVP ห่างออกไปถึงสองปีด้วยซ้ำ แต่ในเกมวันนั้น มันเหมือนเป็นหน้าต่างให้ได้มองไปเห็นยังบาสในโลกอนาคตที่เคอรี่เป็นคนเริ่มขับเคลื่อนในการสร้างความเปลี่ยนแปลง
ในเกมวันนั้น ต้องบอกว่า เคอรี่ เล่นดีจนถึงขั้นที่แฟนๆ ที่ แมดิสัน สแควร์การ์ดเดน เองก็อดที่จะเชียร์ไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ เพื่อนร่วมทีมเก่า แฮริสัน บาร์นส์ เล่าให้ฟังถึงเกมวันนั้น
“ตอนนั้น มันเป็นเกมแรกของผมเลย ทั้งในลีก แล้วก็ใน แมดิสัน สแควร์การ์เดน” บาร์นส์ เล่า “และผมก็ได้เห็นเขาได้ระเบิดฟอร์มออกมาตอนนั้น ได้เห็นแฟนๆ เจ้าบ้าน หันมาเชียร์ทีมเยือน และ สตาร์ทีมเยือนอย่างเคอรี่”
ในเกมคืนวันก่อนที่เคอรี่ทำไป 38 แต้มนั้น ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันในเกมที่เกือบลามไปถึงที่นั่งของคนดูด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเหตุให้ ออลสตาร์คนเดียวประจำทีมปีนั้น เดวิด ลี โดนพักการแข่งขันหนึ่งเกม ถ้าหากว่า ลี ไม่ได้โดนพักห้ามลงแข่งขันนั้น เคอรี่ เองก็คงไม่ได้ลงเต็มเวลาในเกมที่เจอกับนิกส์เช่นกัน
“ด้วยจังหวะของเคอรี่ตอนนั้น คุณรับรู้ได้เลยแหละ ว่าเขาต้องทำแต้มได้มากแน่ๆ” ผู้บรรยายเกมของวอริเออร์สตั้งแต่ปี 1993 อย่าง บ็อบ ฟิตส์เจรัลด์กล่าว “พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนตัวเขาออกไปเลย”
/cdn.vox-cdn.com/uploads/chorus_asset/file/10302559/162809039.jpg.jpg)
ผู้เล่นในทีมของนิวยอร์ก ตอนนั้น ไม่มีใครที่พร้อมจะรับมือกับเคอรี่ได้เลยในฟอร์มแบบนั้น แน่นอนว่าทุกคนโดนกันคนละนิดคนละหน่อย แต่คนที่โดนทำแต้มใส่มากที่สุดก็คงไม่พ้น เรย์มันด์ เฟลตัน
“วันนั้นเป็นวันที่สุดยอดสำหรับเขาจริงๆ” เฟลตัน กล่าว “สำหรับเขาตอนนั้น คิดว่าห่วงคงใหญ่เท่ามหาสมุทรเลยแหละ”
เหมือนพายุฝนทุกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มโหมกระหน่ำ ก็มักจะมีช่วงที่อากาศสงบนิ่ง ไร้สัญญาณถึงความอันตรายใดๆ วันนั้นก็เช่นกัน ในควอเตอร์แรกของเกม เคอรี่ ยังไม่ได้ทำอะไรมาก ยังไม่ได้สร้างกระแสความฮือฮาอะไรเท่าไหร่… มาจนถึงช่วงควอเตอร์ที่สอง
ในช่วงกลางควอเตอร์ที่สอง จังหวะที่กำลังพุ่งตัวมาอย่างรวดเร็วในจังหวะฟาสเบรก และ เป็นจังหวะที่วอริเออร์สได้เปรียบ มีผู้เล่น 3 ต่อ 2 คน เคอรี่ กลับหยุดกระทันหันที่เส้นสามคะแนน แล้วก็ปล่อยลูกยิงสามแต้มลอยออกไป
ซวบ
พอมาอีกเพลย์ ในจังหวะที่เจอกับ ไทสัน แชนด์เลอร์ ที่ถือครองตำแหน่งผู้เล่นป้องกันยอดเยี่ยมปีก่อน เขาก็ได้ปล่อยโฟลตเตอร์ข้ามหัวไปอย่างนุ่มนวลให้พอพ้นเอื้อมแขนไปได้
ซวบ
รู้ตัวอีกที เคอรี่ทำไปทั้งหมด 23 แต้มในควอเตอร์ที่ 2 แล้วก็มีแต้มทั้งหมด 27 แต้มในครึ่งแรก
แล้วพอเริ่มออกมาในครึ่งหลังก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน
“มันค่อยๆ รู้ตัวนะ แบบมองอีกทีแต้มก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเป็น 15, 20, 25, 30, 35” บาร์นส์ เล่า “บรรยากาศในสนามเองก็เริ่มเปลี่ยนไป มันไม่ใช่แค่ว่า ‘เออ ไอ้นี่มันยิงมาว่ะ’ แต่มันเริ่มมีความรู้สึกว่า ‘เฮ้ย นี่มันไม่ธรรมดาแล้ว'”
ไอ้จังหวะที่ “ไม่ธรรมดาแล้ว” ที่สุดนั้น ก็คงไม่พ้นจังหวะที่เคอรี่ ยิงสามแต้มในจังหวะฟาสเบรกอีกครั้ง ทั้งที่มีเพื่อนร่วมทีมขนาบข้างทั้งสองฝั่ง ด้วยเวลาที่เหลือ 4:43 นาทีในควอเตอร์ที่ 4 แล้วตามอยู่สองแต้ม เคอรี่คว้าบอลมา วิ่งข้ามเส้นครึ่งสนามไป แล้วก็เริ่มเทคตัวเพื่อยิงทันที เป็นจังหวะที่คนทั้งสนามอ่านออกว่าจะเกิดขึ้น ผู้เล่นในสนามก็อ่านออกว่าจะเกิดขึ้น เรย์มันด์ เฟลตัน กระโดดยืดสุดตัวออกไปป้องกัน… แต่ก็เท่านั้น เป็นลูกยิงที่ลอยออกมาห่างจากแป้นราว 25 ฟุต เกือบๆ ครึ่งสนาม
ซวบ
มันเป็น แต้มที่ 46 ของเขา และไม่นานหลังจากนั้น โค้ชของทีมนิกส์ ตอนนั้น ไมค์ วู๊ดสัน ต้องของเวลานอกมารวบรวมสติของทีมตัวเอง ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่กลับไปที่ม้านั่งของแต่ละทีม เคอรี่ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความมั่นใจ กระโดดโลดเต้น ตะโกนสุดเสียงกับกองเชียร์ และก็ต้องยอมรับว่า ผลงานของเขาคู่ควรกับการแสดงออกแบบนั้นแล้วจริงๆ
แต่ การขอเวลานอกครั้งนั้น กลับได้ผล
พอมองย้อนกลับไปเกมนั้นแล้ว มันเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆ อย่างจริงๆ และ ความแปลกพิสดารอีกหลายๆ อย่างเช่นเดียวกัน
เพราะว่า เดวิด ลี โดนสั่งพัก 1 เกม ทำให้ เดรย์มอนด์ กรีน ได้เป็นตัวจริงเกมนั้น และเป็นครั้งเดียวในปีแรกของเขาอีกด้วย เกมนั้น ESPN ได้มีการไฮไลต์รองเท้าของเคอรี่ พร้อมวลี I can do all things… และอีกหนึ่งปีต่อมา เคอรี่ก็ได้ย้ายค่ายไป Under Armor พร้อมขับเคลื่อนแบรนด์ให้โตมากขึ้นไปอีก เกมนั้น ไทสัน แชนด์เลอร์ คว้าไป 28 รีบาวด์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาจำได้ทันทีที่ถามเขาเกี่ยวกับเกมนั้น… และเขาก็บอกว่า จำรายละเอียดอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย
แต่สิ่งที่แปลกใจที่สุดคือ ทีมนิวยอร์ก นิกส์ ได้ปะทะกับ สตีฟเฟ่น เคอรี่ ในเกมที่เรียกได้ว่า เคอรี่ เล่นดีที่สุดในชีวิตการเล่นของเขา… และ พวกเขาก็ยังดันเอาชนะมาได้ด้วย
แน่นอนว่า เฟลตัน จำรายละเอียดนี้ได้อย่างชัดเจนราวกับเป็นเพียงเมื่อวาน “ผมบล็อกลูกยิงของเขาได้ถึงสองครั้งนะ เขาทำไป 54 แต้มก็จริง… แต่ผมป้องกันเขาได้ในจังหวะพลิกเกมนะ” (ซึ่งตามสถิติแล้ว เขาได้เพียงบล็อกเดียวนะ… แต่ก็นั่นแหละ เราเข้าใจคุณนะ เฟลตัน)
มันเป็นผลสกอร์ที่โคตรจะแปลก จนแม้แต่ เจสัน คิดด์ ที่เป็นตัวจริงของนิกส์ ในเกมนั้น ยังจำผลสกอร์ของเกมไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ภาพการเล่นของเคอรี่ติดตาเขามาตลอด
“เกมนั้น ผมว่าพวกเรามีโอกาสชนะนะ” คิดด์กล่าว
แต่พอเขารู้ว่า นิกส์ ชนะ คิดก็สวนกลับอย่างตลกๆ ต่อว่า “เออ งั้นพวกเราก็ทำตามแผนของเรานั่นแหละ ถูกแล้ว แผนของเราคือการให้ เคอรี่ ทำแต้มกระจายนั่นแหละ”
เพียงร่วมทีมอย่าง เดรย์มอนด์ กรีน ยังระลึกอะไรได้น้อยกว่า เจสัน คิดด์ ด้วยซ้ำ ใช่เกมนั้น เขาเป็นตัวจริงครั้งแรกในชีวิตการเล่น NBA ลงเล่นไปถึง 27 นาทีอีกด้วย… แต่พอถามเขาเกียวกับเกมนั้น เขาได้แต่คิดแต่ก็คิดไม่ออก
“เฮ้ย จำอะไรได้บ้างปะวะ” เขาหันไปถาม ชอน ลิฟวิงสตัน ที่นั่งข้างๆ เขาตอนนั้น ซึ่งก็ไม่ได้คำตอบที่ช่วยเหลืออะไรได้ กรีนเองก็พยายามจะนึกให้ออก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม
เจ อาร์ สมิธ เอง ที่ทำไป 27 แต้มให้กับ นิว ยอร์ก นิกส์ ในเกมนั้น ก็บอกว่าเขาจำอะไรมากไม่ได้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าในเกมวันนั้น การเล่นของเคอรี่ จะเป็นที่ตราตรึงจิตใจของผู้ชมสื่อทั้งหลาย ผู้บรรยาย (และแน่นอน แฮริสัน บาร์นส์ ที่ได้ไปเล่นที่นั่นครั้งแรก) แต่มันกลับไม่ได้ส่งผลเท่าไหร่นักกับผู้เล่นคนอื่นๆ
“ผมว่าตอนนั้น ‘สเตฟ’ ยังไม่ใช่ ‘สเตฟ’ ที่เราคุ้นเคยกันอย่างตอนนี้ แม้แต่ในระดับประเทศ อย่าว่าแต่ระดับโลกเลย” ฟิตส์เจรัลด์กล่าว
ในเพลย์ออฟปีนั้น วอริเออร์ส ได้จัดการ เดนเวอร์ นักเกตส์ ไปก่อนที่จะทำให้ทั้งลีกหันมาสนใจด้วยการไล่บี้กับ ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส และ เคอรี่ ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสองซีรี่ย์นั้น ซึ่ง บาร์นส์ กล่าวว่า จุดนั้น น่าจะเป็นจุดที่ตัวเขารู้สึกได้ถึงศักยภาพสูงสุดของเคอรี่
“ไม่มีใครกันเขาได้เลย” บาร์นส์กล่าว “การที่ได้เห็นเขาไปถึงตรงนั้น นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราได้เห้นว่าผู้ชายคนนี้เก่งขนาดไหน และ เก่งพอที่จะเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในลีกได้
ความทรงจำของ ดอริส เบิร์ก ผู้สื่อข่าวคนดัง สำหรับเกมวันนั้น คือ เธอไม่อยากที่จะออกไปจากสนามวันนั้นเลย
ช่วงระยะเวลานั้นในฤดูกาลของ NBA มันถึงจุดที่อะไรหลายๆ อย่างเริ่มปนเปกันสารพัดสำหรับสื่อส่วนใหญ่ แต่ละเกมเริ่มกลายเป็น “หน้าที่” ส่วนหนึ่ง และก็เป็น “ความเหนื่อยล้า” อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้สำหรับการตามทำข่าวทั่วทั้งประเทศ เบิร์กบอกว่า มันต้องเป็นอะไรที่ “พิเศษ” จริงๆ ที่จะทำให้สื่อแต่ละคนมีความรู้สึก “ตื่น” ขึ้นมาจากพวังค์ของวงจรนั้น และ เกมวันนั้นมันก็ “พิเศษ” จริงๆ
“ในฐานะผู้บรรยาย เราจะรู้กันว่า เกมไหนที่มันสุดยอดจริงๆ หรือ ใครเล่นได้อย่างสุดยอดจริงๆ เพราะว่าตอนที่ต้องเริ่มออกไปจากสนามกันแล้ว พวกเราไม่แยกกันแล้วหาที่ไปคุยกันต่อ” เบิร์กเล่า
และบทสนทนาที่กลุ่มผู้บรรยายอย่างรักษาต่อ อยากคุยกันต่อในวันนั้น ก็คือ เคอรี่ นั่นเอง
เบิร์ก ได้ตามเคอรี่มาตลอดช่วงเวลาที่เล่นที่ มหาวิทยาลัยเดวิดสัน และ ก็ตลอด สี่ปีแรกใน NBA แต่สิ่งที่เขาเห็นในคืนนั้น มันเป็นอะไรที่แตกต่างกันออกไปจากที่เคยเห็นมา
“สิ่งที่ฉันจำได้คืนนั้นคือ มันเป็นครั้งแรกที่ เคอรี่ เขามีรีแอคชันกับการเล่นของตัวเองในสนาม” เบิร์กกล่าว “ฉันรู้สึกได้ว่ามันมี เอเนอร์จี้ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และ รู้ได้ว่าเขาเองก็มีความตื่นเต้นกับสิ่งที่เขากำลังรับรู้”
ไอ้ความรู้สึกตื่นเต้น หรือ ความมหัสจรรย์ในเกมวันนั้น มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นกันต่อหน้าอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนคือ เส้นทางอาชีพของเคอรี่ หลังจากนั้น
เส้นทางสู่สตาร์ของเคอรี่ เป็นอะไรที่ไม่น่ามีใครคาดเดาได้เลยตอนที่เขาเข้ามาในลีกตอนแรก ตอนที่เขาเข้ามหาวิทยาลัยเดวิดสันครั้งแรก เขาเป็นเพียงแค่ผู้เล่นฝีมือโอเคที่ได้เชื้อจากพ่อที่เป็นนักกีฬา NBA ดีมากคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ระเบิดฟอร์มมาเป็นสตาร์ในระดับมหาวิทยาลัยแม้จะเป็นโรงเรียนเล็ก ก่อนที่จะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงมือแม่นที่น่าจับตามองใน NBA ก่อนที่จะไปถึงจุดสูงสุดเหนือความคาดหมายของทุกคนด้วยการเป็น ผู้เล่นทรงคุณค่าคนแรกที่ได้รับการโหวตอย่างเอกฉันท์ พอเรามองย้อนกลับไปตอนนี้ การเล่นของเคอรี่ ณ วันนี้ ก็ไม่ต่างจากการเล่นที่เขาทำไป 54 แต้มที่ แมดิสัน สแควร์ การ์เดน เท่าไหร่นัก เพียงแค่ว่า ณ ตอนนั้น หลังจากเกมนั้นๆ ไม่มีใครมองออกจริงๆ ว่า เขาจะเติบโตมาได้ไกลถึงจุดนี้
“ฉันว่าตัวฉันเอง แม้แต่หลังจากที่ได้เห็นเกมนั้นแล้ว ฉันก็ไม่คิดว่า นี่คือผู้เล่นที่จะได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าถึงสองสมัย” เบิร์กกล่าว “ฉันไม่เคยคิดว่า เขาจะสามารถเล่นได้แบบนั้นอย่างต่อเนื่องและคงที่ ในทุกๆ เกม”
“นี่คุณพูดถึงมนุษย์ที่ยิงบาสได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเลยนะ” ฟิตส์เจรัลด์กล่าว “ถ้าคุณบอกว่าคุณเห็นศักยภาพตรงนี้ในตัวไอ้หนุ่มหน้าเด็กคนนั้นตอนเขาเรียนที่เดวิดสัน คุณต้องเป็นหมอดูแน่ๆ”
/cdn.vox-cdn.com/uploads/chorus_asset/file/10302587/168335672.jpg.jpg)
นี่คือ ปัญหาที่ เคอรี่ หยิบยกมาให้พวกเราทุกคนเมื่อ 5 ปีก่อน: คุณจะไปคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่า ผู้ชายคนนี้ จะเป็นคนที่จะมาเปลี่ยนนิยามของจังหวะการยิงที่มีคุณภาพในโลกของ NBA” เบิร์กบอก “และยิ่งกว่านั้น คือ การที่ได้นั่งฟัง โค้ชเคอร์พูดในช่วงก่อนแข่งแต่ละครั้ง การที่เขาสามารถบรรยายได้อย่างละเอียดว่า ทำไมเคอรี่ถึงสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีแนวรับได้ทั้งทีม ว่าพวกเขาต้องออกมาป้องกันไกลห่วงมากเท่าไหร่ และ มันส่งผลต่อรูปแบบการป้องกันอย่างไรบ้าง มันเป็นสิ่งที่สุดยอดจริง”
โค้ชของเคอรี่ ที่เดวิดสัน บ็อบ แมคคิลล็อบ เองก็ได้ดู เคอรี่ยิงเป็นไฟที่ แมดิสันสแควร์การ์เดน วันนั้น ในระหว่างที่เขากำลังนั่งรถบัสกลับจากการออกไปแข่งนอกบ้าน
“พวกเราเพิ่งไปเอาชนะมานอกบ้าน เพราะฉะนั้นก็เลยถือโอกาส นั่งดูเกมในขณะที่นั่งรถกลับ” เขากล่าว “และมันก็สร้างความฮือฮากับทุกๆ คน ไม่ใช่แค่กับกลุ่มโค้ชที่เคยสอนเขา แต่กับทั้งทีมจริงๆ ทุกคนจ้องตาไม่กระพริบเลย”
แน่นอนว่า แมคคิลล็อบก็ดีใจกับสิ่งที่เขาเห็น แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เคอรี่ เป็นคนที่เล่นได้ดีกว่าปกติ ในเวทีที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ที่เดวิดสัน จนถึงระดับอาชีพ
แมคคิลล็อบ เชื่อมั่นมาตลอด ว่า เคอรี่ จะไปถึงจุดสูงสุดของตัวเองได้ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่า “จุดสูงสุด” ที่ว่านั้น มันจะสูงมากขนาดนี้ และไอ้คำว่า “จุดสูงสุด” นั่น มันก็เป็นปัญหาสำหรับ แมคคิลล็อบ และ ทีมงานมาตลอด พอเคอรี่ไปได้ถึงจุดหนึ่งเมื่อไหร่ ไม่นานนัก เขาก็พุ่งไปหาจุดที่สูงยิ่งกว่าต่อไปซะแล้ว
“พอเขายิงสามแต้มแสกหน้าใครสามทีติดกัน พวกเราก็หันควับไปทีม้านั่งแล้วก็บอกว่า ‘ไม่รู้หรือไงว่านั่น สตีฟเฟ่น เคอรี่นะ!'” แมคคิลล็อบกล่าว “เขาไม่เคยถึงจุดที่พวกเราคิดว่าคือจุดสูงสุดของเขา เพียงแค่เพราะว่า พอเขาลงสนามไปอีกที เขาก็ได้ก้าวผ่านข้ามไปอีกระดับแล้ว”
ในช่วงเวลา 5 ปีหลังจากที่เขาทำสถิติทำแต้มสูงสุดในการเล่นอาชีพ 54 แต้มวันนั้น เคอรี่เป็นถึง แชมป์ NBA สองสมัย ผู้เล่นทรงคุณค่าสองสมัย ทำลายสถิติการยิงสามแต้มมากมาย พาทีมวอริเออร์สทำลายสถิติแพ้ชนะที่ดีที่สุดตลอดกาล อีกทั้งยังแสดงตนให้เห็นว่าเป็นผู้เล่นที่สร้างนิยามอะไรใหม่ๆ ให้กับรูปแบบการเล่นบาสในสมัยใหม่ด้วย
ไม่มีใครอ่านออกมาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ – ไม่ว่าทั้ง ดอริส เบิร์ก ทั้ง บ็อบ แมคคิลล็อบ ไม่ว่าจะทั้งคุณ ไม่ว่าจะทั้งผมเอง บางที แม้แต่เคอรี่เองก็อาจจะไม่คาดคิดมาก่อนด้วยซ้ำ และ พอมองย้อนไปจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะคาดการณ์ได้จริงๆ
โกลเดน สเตท วอริเออร์ส มี มุกภายในองค์กรอันหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากประธาน ริค เวลท์ แล้วตอนนี้ก็ลามไปกับทุกคน ว่า เมื่อไหร่ที่มีคนมาถามว่า เคอรี่เก่งมากขนาดนั้น จริงๆ หรอ (แล้วมันมีคนถามแบบนี้จริงๆ) พวกเขาก็จะตอบเสมอว่า
“ไม่นะ”
“แต่เขาเก่งยิ่งกว่านั้นอีก”
แปลและเรียบเรียงโดย TK
บทความต้นฉบับโดย Tim Cato (SB Nation) อ่านได้ที่นี่
ภาพปกบทความโดน Tyson Whiting