การแข่งขันครั้งนี้ ถือว่า คุ้มค่ากับที่รอคอยเลยนะ ตอนนี้ก็เพียงแต่ว่า อยากได้ชื่อ เท่ๆ แบบ เอล คลาชิโก้ หรือ อะไรเทือกๆ นี้บ้างอะ…
For English, read here.
ครั้งสุดท้ายที่ ASEAN Basketball League มีทีมจากไทยสองทีม ก็เป็น ซีซั่นที่ สาม ซึ่งผ่านมาแล้ว 3 ปี
ในที่สุด ปีนี้ ก็ได้ประจวบเหมาะ ที่มีทั้ง ไฮเทค บางกอก ซิตี้ และ โมโน แวมไพร์ เลยได้มีศึกกลางเมืองภายในประเทศไทยกันอีกรอบ
รายละเอียดการแข่งขัน
ผลการแข่งขัน: ไฮเทค บางกอก ซิตี้ 80 – โมโน แวมไพร์ 74
เกมเทป: https://www.youtube.com/watch?v=cxy6lfINyOM
สถิติการแข่งขัน: http://www.fibalivestats.com/u/abl/224752
ตั้งแต่วันที่ โมโน แสมไพร์ ยืนยันประสงค์ที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน ASEAN Basketball League แฟนๆ หลายๆ คนก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยการพบเจอกันของสองทีมนี้ ในเวที ABL มาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
นอกจากว่า สองทีมนี้ จะได้ก้าวขึ้นมาเป็นสองทีมยักษ์ใหญ่ ในไทยแล้ว การพบกันแต่ละครั้ง ที่ผ่านมาสองเกม เป็นการแข่งขันที่สุดจะมันส์ และ แต้มจบทิ้งห่างกันไม่เกิน 3 แต้ม

ถ้าผมเลือกที่จะดูได้เพียง 4 เกมในปีนี้ (ซึ่งมันเป็นไปได้ที่ไหนละ) ผมก็คงเลือก 4 เกมที่สองทีมจากไทยนี่จะเจอกันนี่แหละ
แน่นอนว่า ผมก็ค่อนข้างจะลำเอียงด้วยความที่เป็นคนไทยอยู่แล้ว แต่มันมีเสน่ห์เพิ่มเติมของเบื้องหลังของความเป็นคู่แค้นของสองทีมนี้ ที่ทำให้การพบกันแต่ละที เป็นการแข่งขันที่แทบจะกระพริบตาไม่ได้
ไฮเทค บางกอก ซิตี้ ออกตัวในการแข่งครั้งนี้อย่างรวดเร็ว โดยมี ไทเลอร์ แลมบ์ เป็นตัวชูโรง ด้วยลูกยิงระยะไกล เช่นเดิม
หลังจากที่จบควอเตอร์แรกไป เขาทำไป 10 แต้ม อีกทั้งยังยิงปิดควอเตอร์สองด้วยลูกยิงสามแต้มในช่วงวินาทีสุดท้าย
[ก็อยากจะเอาวีดีโอมาแปะให้ดูกันตรงนี้นะ แต่ความคมชัดมันเป็นแบบ LD (low definition) มาก…ก็ถือว่ายกผลประโยชน์ให้กับคนที่ได้ไปดูเกมนี้สดๆ ข้างสนามละกัน]
ถ้าใครที่ตามนับอยู่ ก็จะเห็นว่า ตอนนี้ ไทเลอร์มีสถิติการยิงลูกสามแต้มปิดครึ่งแรก เป็น 100% (ยิง 2 ลง 2) ก็ไม่รู้ว่าสถิติตรงนี้ มันมีประโยชน์อะไร…แต่ก็เป็นตัวเลขที่น่าสนใจดี
ไฮเทคอาจจะออกตัวแรง เปิดแต้มในควอเตอร์แรกไป 23-14 แต่ถ้าใครที่เป็นแฟนๆ ไฮเทค ก็คงดูช่วงต้นเกมนี้ได้อย่างไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
คริส ชาร์ลส์ ก็ดูฝืนบุก ฝืนยิงพอสมควร เฟรดดี้ โกล์ดสตีน ก็ตีเพี๊ยะเก็บฟาวล์ไปสองครั้งอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังดูกะเผลกๆ จากอาการบาดเจ็บอยู่
โมโน แวมไพร์มีช่วงที่นำไป 2 แต้ม เพียงชั่วครู่ แต่ดูๆ แล้ว ทีมค้างคาวอมตะดูเล่นแล้วมีความรู้สึก สงบ และ ใจเย็นกว่า ไฮเทค มากพอสมควร
มาหยุดพักกันซักครู่ เพื่อไปดูบรรยากาศของสองทีมก่อนการแข่งขันในครั้งนี้
ผมได้มีโอกาสที่จะเข้าไปดูการซ้อมของทีมทีม โมโน แวมไพร์ และ ไฮเทค บางกอก ซิตี้ ก่อนที่จะถึงวันแข่ง
ความแตกต่างที่ผมสัมผัสได้คือ ความตึงเครียดของสองทีมที่ต่างกัน อาจจะเพราะความที่เป็นทีมใหม่ ที่ พึ่งพาตัวท้องถิ่นเป็นหลัก อีกทั้งยังเพิ่งซิวแชมป์ ไทยแลนด์บาสเก็ตบอลลีก มาด้วยที่ทำให้ทีม โมโน แวมไพร์ ดูมีบรรยากาศการซ้อมที่สบายๆ
แน่นอนว่าพวกเขาซ้อมกันอย่างเต็มที่…แต่มันเป็นความเต็มที่ที่ดูร่าเริง เบาสมอง

(รู้ว่ารูปข้างบนนี้ มาจากการซ้อมที่เมืองดาเวา ประเทศ ฟิลิปปินส์…แต่รูปที่ผมมีในมือถือมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยใช้รูปนี้แทน)
ตัดมาที่การซ้อมของ ไฮเทค บางกอก ซิตี้ ทุกคนก็ดูเหมือนพยายามจะรักษาบรรยากาศความร่าเริงไว้ สตีฟ โธมัส ก็คอยกลั่นแกล้งคนอื่นๆ เหมือนปกติ “ซัน” กัณวัฒน์ เลิศเลาห์กุล ก็ยังคงซ้อมไปด้วยบรรยากาศชิลล์ๆ สบายๆ ตามปกติของตัวเอง “เดฟ” สุขเดฟ โคเคอร์ ก็ยังคงเดินโฉบไปเฉี่ยวมาในสตายล์ Swaggy ตามฉบับ แต่มันมีความตึงเครียดที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศที่เหมือนจะคอยตะโกนกรอกหูฝังสมองของทุกคนว่า “จะแพ้เกมไหนก็ได้ ยกเว้นเกมนี้”
เอาจริงๆ ว่า ถ้าเจ้าของทีม “เฮียต่าย” นิพนธ์ ชวลิตมณเฑียร ได้กล่าวกับทีมอะไรในทำนองนี้ตอนประชุมทีม ผมก็คงไม่แปลกใจ

แล้วไอ้ความตึงเครียดตรงนั้น (หรือในกรณีของโมโน คือ ความสบายๆ) มันแสดงออกมาในเกมนี้
ไฮเทคดูเหมือนว่า เล่นอยู่โดยที่มีอะไรพาดบ่าถ่วงไหล่อยู่ตลอดเกมในช่วงครึ่งแรก มีสายตาที่เหมือนจะมุ่งมั่นกับความคิดว่า “ลูกนี้ กูยิงพลาดไม่ได้” หรือ “ลูกนี้ กูพลาดไม่ได้” ซึ่งแน่นอนว่า การที่มีสมาธิ มีสติกับสิ่งที่ทำก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี…แต่หลายๆ ครั้ง ถ้าไปมุ่งกับอะไรซักอย่างมากเกินไป มันก็ส่งผลไม่ดีกลับมาได้เหมือนกัน
ในทางกลับกัน ทีมโมโน แวมไพร์ ดูเหมือนจะเล่นกันอย่างอิสระเสรีมากกว่า พวกเขาเองก็รู้ว่าเกมนี้มันมีความหมายมากขนาดไหน แต่ก็ไม่ปล่อยให้มันกลายมาเป็นอะไรที่เป็นภาระกับสมาธิของตัวเอง

และที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาดูเหมือนเล่นกันด้วยบรรยากาศที่สนุกกับการเล่น และนั่นคือสิ่งที่ทำให้รูปแบบเกมไม่ได้ทิ้งห่างกันมาตลอด ถึงแม้ว่า ไฮเทคจะออกตัวแรงแค่ไหนก็ตาม อีกทั้งน่าจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ โมโน ได้ขึ้นนำไปในช่วงควอเตอร์ที่ สาม อีกด้วย
หอคอยคู่ของ โมโน แวมไพร์ แอนโธนี่ แมคเคลน และ ควินซี่ โอโคลี่ ต่างก็เมามันกับการหวดลูกยิงของไฮเทคทิ้ง ซึ่งมันเปิด(โอกาสให้กับเกมสวนกลับของ เพื่อนร่วมทีม
ยิ่งได้เสริมกับลูกยิงสามแต้มของ “เจโอ” รัชเดช เครือทิวา แล้ว อยู่ดีๆ กลายเป็นว่า ไฮเทค โดนรันแต้มไป 8-0 และมีคะแนนตามอยู่ 8 แต้ม ภายในสนามบ้านตัวเอง
แชมป์เก่า ABL กำลังระส่ำระส่ายซะแล้ว
ในระหว่างการโดนรันแต้มครั้งนั้น โค้ช จิงฮ์ หรุยส์ ก็ต้องออกมาเตือนกับทีมตัวเองว่า “นี่มันแค่ 5 แต้ม เองนะเฮ้ย เพิ่งจะควอเตอร์ที่ 3 เอง เกมยังไม่ใกล้จะจบเลย”
ถึงแม้ว่า โค้ช จิงฮ์ จะไม่ได้ออกมาบอกว่า ให้แต่ละคนออกมาแล้วมีความสุขกับการเล่นมากขึ้น แต่เขาก็มี เฟรดดี้ โกล์ดสตีน ที่ถือว่าเป็นผู้เล่นที่น่าจะเล่นได้อย่างมีความสุข และ เล่นได้อย่างสนุกสนานมากที่สุดคนหนึ่ง หลังจากที่เดินออกมาจากเวลานอกครั้งนั้น เฟรดดี้ ก็กระหน่ำทำแต้มไป 8 แต้ม ภายในระยะเวลาประมาณ 1 นาที จากการยิงสามแต้มและยิงลูกระยะกลางแบบหวาดเสียว และ น่าจะเป็นการยิงที่ทำให้โค้ชทุกคนต้องปวดหัวตัวร้อนขึ้นทันใด
แต่มันก็ดูเหมือนจะกระตุ้นให้ไฮเทคมีชีวิตชีวามากขึ้น ถึงแม้ว่า เฟรดดี้ (ที่มีปัญหาเรื่องการฟาวล์มาตั้งแต่ควอเตอร์แรก) จะต้องกลับไปนั่งที่ม้านั่ง เพราะเสียฟาวล์ครั้งที่ 4 แต่ก็เหมือนว่าเขาจะจุดไฟความคึกคะนองให้กับไฮเทคไว้ก่อนจบควอเตอร์ที่ 3 แล้ว

“ซัน” กัณวัฒน์ เลิศเลาห์กุล และ “บอย” ปิยพงศ์ พิรุณ ต่างก็เป็นแกนนำสำคัญสำหรับการตีแต้มคืนมาของไฮเทคในควอเตอร์ที่ 4
ในควอเตอร์นี้ กัณวัฒน์ ได้เข้ามาประคองรูปเกมให้นิ่งขึ้น หลังจากที่มีตัวป่วนอย่าง เฟรดดี้ เข้ามาก่อนหน้านี้ และ ปิยพงศ์ก็จัดการทิ้งระเบิดสามแต้มสองลูกเน้นๆ พาทีมขึ้นนำไปจนได้
โมโน แวมไพร์เองก็ไม่ยอม และสวนกลับด้วยลูกยิงสำคัญๆ จากสองการ์ด “อาร์ม” ณัฐกานต์ เมืองบุญ และ “บาส” กานต์ณัฐ เสมอใจ แต่ ท้ายที่สุดก็เจอตัวป่วนเกมของไฮเทคเข้าอีกครั้ง จนไปต่อไม่ถูก
คุณภาพของวีดีโอไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ (ขอร้องเถอะ ABL แก้ไขตรงนี้ที) แต่ถ้าให้อธิบายง่ายๆ คือ เฟรดดี้ ข้ามเข้าหาห่วงและก็โยนบอลขึ้นไป
แบบว่าโยน ขึ้นไปจริงๆ จนดูเหมือนเป็นการปล่อยบอลที่มั่วซั่วเอามากๆ แต่ การ “โยน” บอลครั้งนั้นก็ทำให้ไฮเทคขึ้นนำ แล้วหลังจากนั้นก็นำมาจนจบเกม
มีจังฟหวะการบล็อกที่สำคัญๆ อีกสองจังหวะของ คริส ชาร์ลส์ กับ สตีฟ โธมัส ที่หยุดการทำแต้มของ แอนโธนี่ แมคเคลน เอาไว้ได้ ซึ่งทำให้ผลออกมาอย่างชัดเจน คือ ไฮเทค บางกอก ซิตี้ ชนะ โมโน แวมไพร์ไปใน ศึกล้างบางบางกอก ครั้งที่ 1 ไป 80-74
ความประทับใจหลังเกม
ถ้าให้พูดกันตรงๆ เกมนี้ ไฮเทค บางกอก ซิตี้ ชนะไปได้ เพราะระดับความสามารถส่วนบุคคลที่สูงกว่า ผมยังประทับใจที่ โมโน แวมไพร์ มีความตั้งใจที่จะลุย ABL ด้วยเพียงแค่ สอง World Import และ ตัวผู้เล่นท้องถิ่นเท่านั้น แต่ถ้ามีความตั้งใจจะเข้ารอบเพลย์ออฟ ผมว่า คงต้องมีการพัฒนา หรือ เสริมอะไรซักอย่าง อีกระดับหนึ่ง
ระดับความสามารถส่วนบุคคลของ โมโน แวมไพร์ เองก็ไม่ใช่ว่าจะธรรมดา และมีความสามารถที่จะทำแต้มได้อย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เหมือนจะยังขาดตัวที่เรียกว่า ตัว Wildcard ที่สามารถจะปล่อยลงไปโลดแล่นในสนาม แล้วพลิกจังหวะของเกมได้ในทันที
ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตัวผู้เล่นท้องถิ่นซักคน หรือ อาจจะมีการตามหา ASEAN Import อยู่ แต่ก็เป็นเรื่องราวที่น่าติดตาม หากจะมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นอย่างละเอียดสำหรับไฮเทค พวกเขาดูเหมือนจะอึดอัดเอามากๆ ก็ได้แต่หวังว่า มันจะเป็นเพียงเพราะเป็นการแข่งขันกับทีม โมโน แวมไพร์เท่านั้น ในฐานะคู่อริ ที่ทำให้การเล่นดูตึงแน่นไปหมด
ถ้ามองในมุมหนึ่ง นักกีฬา ทุกคนก็ล้วนแต่เป็น “ศิลปิน” ซึ่งการที่คาดหวังว่าเขาจะวาดลวดลายศิลป์ออกมาได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่มีสายตาจ้องเขม็ง และ หายใจรดต้นคอตลอดเวลา ก็คงเป็นไปได้ยากช
ไฮเทคมีทีมที่เรียกได้ว่า มีความสามารถส่วนบุคคลรวมกันได้สูงที่สุดใน ABL ตอนนี้ แต่ถ้าไม่รีบหาทางผ่อนคลายตัวเองกันบ้าง ก็อาจจะประสบกับความพ่ายแพ้อย่างน่าผิดหวังซักเกม ที่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการล้มครืนแบบโดมิโน่ก็ได้
ด้วยชัยชนะครั้งนี้ ทำให้ ไฮเทคยังคงไร้พ่าย ด้วยสถิติ ชนะ 2 แพ้ 0 แต่ในสองเกมนี้ พวกเขาถูกปอกลอกให้เห็นถึงจุดอ่อนไปพอสมควร ตอนนี้เลยเป็นการแข่งกับเวลา ว่าจะแก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้ได้ก่อนที่จะเจอกับคู่แข่งที่สามารถโจมตีจุดอ่อนนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
ส่วนทาง โมโน แวมไพร์ ก็ยังไม่มีชัยชนะ (0-2 ในขณะที่ทำบทความอยู่) แต่พวกเขาก็ยังเล่นได้ดี ก็เหลือแต่ว่า พวกเขาจะสามารถกุมชัยชนะให้ได้ซักเกม ก่อนที่กำลังใจของทีมจะหมดลงไปก่อน จากการพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ชอบและไม่ชอบ
- เฟรดดี้ โกล์ดสตีน กับ ความสัมพันธ์แบบสุดขั้ว

เฟรดดี้ เป็นคนที่มีรูปแบบการเล่นที่ทิ้งให้คนที่ดูเหมือนกับเล่นรถไฟเหาะในจิตใจ สลับไปมาระหว่างความคิดว่า “เฮ้ย เอ็งทำอะไรของเอ็งวะ?!” กับ “โอ้โห สุดยอดไปเลยวะ คารวะ” เขาจะมีจังหวะที่ข้ามเข้าหาห่วงอย่างมุทะลุในบางครั้งที่มีจังหวะเปิดโล่งในตำแหน่งปีก บางทีก็มีจังหวะที่ขึ้นบุกสวนกลับเร็ว และ จับยิงสามแต้มกระทันหัน เขาคื้อสุดยอดนักบาสที่อาจจะเรียกได้ว่า “ถ้าไม่รัก ก็คงเกลียด”
โค้ชต่างๆ และผู้ที่หลงไหลการเล่นบาสอย่าง “ถูกวิธี” อาจจะเกดลียดรูปแบบการเล่นแบบนี้ แต่ผม ในฐานะคนที่รักการ “ดู” บาส ได้ดูเฟรดดี้เล่นแล้วก็หลงไหลไปกับจังหวะขึ้นๆ ลงๆ ของเขาดี
- การวนตัวของ โมโน แวมไพร์
ในขณะที่บางทีมยังต้องปรับตัวกับผู้เล่นหน้าใหม่ (ไฮเทค, เคแอล ดรากอนส์) บางทีมก็ยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บ (ไซ่ง่อน ฮีต, สิงคโปร์ สลิงเกอร์ส) และบางทีมที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรอยู่ (พิลิพินาส อากีลาส) ดูเหมือนว่า อย่างน้อยๆ ทีม โมโน แวมไพร์ ก็มีรูปแบบการวนตัวนักกีฬาที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
ซึ่งก็คงเป็นผลจากที่ชุดผู้เล่นนี้ เป็นชุดผู้เล่นที่ใช่มาเกือบตลอด ไทยแลนด์ บาสเก็ตบอลลีก ที่ผ่านมา ทำให้ โค้ชเส็ง ประเสริฐ สิริพจนากุล มีรูปแบบในใจแล้วว่า จะใช้ใคร ลงไปทำอะไร ในจังหวะไหน โดยที่ไม่ต้องคิดมากเท่าทีมอื่นนัก
ตรงนี้ ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้โมโน แวมไพร์ ได้เปรียบในการรันแต้ม ในเกมที่ผ่านๆ มา
- เฟรดดี้ โกล์ดสตีน กับ วัฒนธรรม “การไหว้”
อย่างที่เราเห็นกับ อรรถพร เลิศมาลัยภรณ์ และ ดนัย คงคุ้ม (สองคนที่โดดเด่นเรื่องการไหว้ในสนามบาส) ในบางจัวหวะ คนไทยเรื่องมีวัฒนธรรมเรื่องการไหว้ที่ใช้ในการแสดงความเคารพ หรือ แทนการขอบคุณ อยู่อย่างเข้มข้น จนทิ้งไม่ได้แม้จะอยู่ในสนามที่ดุเดือดอย่างสนามบาส

มันจึงเป็นอะไรที่อบอุ่น ชุ่มชื้น หัวใจ ในฐานะคนไทยที่ได้เห็น ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อย่าง เฟรดดี้ โกล์ดสตีน ทำการ “ไหว้” หลังจากที่ยิงลูกโทษลงในช่วงท้ายเกม
ซึ่งตรงนี้ มันก็ทำให้เกิดคำถามในหัวขึ้นมาอย่างเฉียบพลันว่า:
เขาขอบคุณใคร?
หรือว่าเขาขอบคุณสำหรับแต้มที่เพิ่งได้มา?
หรือว่า เขาขอบคุณกรรมการที่แอสสิสต์ให้เขากับการยิงลูกโทษ?
ไม่ว่าจะกรณีไหน ก็เป็นเหตุการณ์น่ารักๆ ในศึกเดือด ล้างบางบางกอก (…ก็ปั้นจังเลยนะ ชื่อนี้เนี่ย)
โมโน แวมไพร์ จะเล่นเกมต่อไปในวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่สนาม OCBC Arena
ส่วนไฮเทคจะเล่นครั้งต่อไปกับทีม พิลิพินาส อากีลาส ในวันที่ 15 พฤศจิกายน โดยสนามที่จะใช้แข่งยังไม่ประกาศ
One thought on “ABL Recap x ไฮเทค บางกอก ซิคี้ vs. โมโน แวมไพร์ : ตัวป่วน”